Komissar (original title) | Aleksandr Askoldov | Soviet Union | 1967 (released in 1988) March 6, 2012 คุณพระช่วย! ผ่านไปหนึ่งวันเต็ม หล...

The Commissar

Komissar (original title) | Aleksandr Askoldov | Soviet Union | 1967 (released in 1988)


March 6, 2012

คุณพระช่วย! ผ่านไปหนึ่งวันเต็ม หลายภาพหลายตอนจากหนังเรื่องนี้ยังคงติดตา เรื่องราวยังคงทำให้เราเก็บคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคงไม่แคล้วเป็นหนึ่งในหนังที่เราจดจำอยากเอ่ยถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เราซื้อแผ่นหนังเรื่องนี้มาจากประเทศสังคมนิยมประเทศหนึ่งเมื่อราวสองปีที่ผ่านมา เก็บดองไว้นาน มาถึงวันนี้ที่ดูจบ แล้วให้นึกว่าตลกดีที่เราหาซื้อมันมาจากที่นั่น หนังเรื่องนี้สร้างเมื่อปี 1967 แต่ด้วยเนื้อหาที่หาได้เชิดชูวีรบุรุษและพรรคฯ หน่วยงานเซ็นเซอร์ของโซเวียตตัดสินให้ทำลายภาพยนตร์ ผู้กำกับถูกสั่งห้ามเกี่ยวข้องกับภาพยนตร์อีกต่อไป โชคดีที่ฟิล์มยังเหลือรอด แม้ว่าที่เก็บของมันจะเป็นที่คลังของเคจีบีก็ตาม ราว 20 ปีต่อมา เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มเปลี่ยน มีการเริ่มเปิดประเทศ และค่ายคอมมิวนิสต์ดูเหมือนว่ากำลังจะล่มสลาย ผู้กำกับได้ทำการอุทธรณ์ขอฟิล์มคืนและได้รับการอนุมัติ มีการบูรณะ ปรับปรุง และมิกซ์เสียงใหม่ โลกจึงได้สัมผัสภาพยนตร์ที่เราคิดว่าดีเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่ง เราได้มันมาอย่างงงๆ จากประเทศสังคมนิยมที่เริ่มก้าวไปสู่การเป็นมหาอำนาจใหม่ตามมาตรฐานของทุนนิยมหลังการเปิดประเทศกว่าสองทศวรรษเช่นเดียวกัน

เรื่องราวว่าด้วยหญิงสาววัยเกือบกลางคนผู้ถือตำแหน่งระดับหัวหน้าหน่วยของกองกำลังหนึ่งของ "ฝ่ายแดง" ในช่วงสงครามกลางเมืองของรัสเซีย เธอพบว่าตัวเองได้ตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจและมันสายเกินกว่าที่จะทำแท้งเอาเด็กออก หัวหน้าตัดสินใจให้เธอแยกออกจากหน่วย และบังคับฝากฝังเธอไว้กับครอบครัวชาวยิวที่หัวหน้าครอบครัวเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคฯ แต่ก็เช่นเดียวกับตัวละครบางตัวที่เราเห็นในเรื่อง (และอาจจำนวนมากในโลกแห่งความเป็นจริง) ที่เลือกจะละทิ้งพรรคฯ และอุดมการณ์เพื่อใช้ชีวิตกับคนรักหรือครอบครัวที่ตนต้องคอยดูแลพิทักษ์รักษา ในช่วงเวลาที่การสัประยุทธ์ของแต่ละฝ่ายลงเอยที่การล่มสลายของคนธรรมดา

เริ่มต้นด้วยความกระด้างเย็นชาและแยกตัว Vavilova ให้กำเนิดบุตรและค่อยๆ กลายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวชาวยิวที่ตนไปอาศัยด้วย เผยสัญชาติญาณแห่งความเป็นแม่และโลกของครอบครัวอันห่างไกลจากสงคราม แต่แล้ววันหนึ่งสงครามก็หวนกลับคืนมาสู่ตัวเธอและครอบครัวใหม่ สหาย "ฝ่ายแดง" มาเยือน เริ่มจากการกวดไล่ กระสุน และลงเอยที่การชักชวนเธอกลับร่วมรบ เธอเริ่มต้นด้วยหวาดผวา ก่อนจะกลับมาสู่ความกร้าวด้านเช่นอดีต แต่ครานี้ด้วยเป้าหมายในการปกป้องลูกน้อย สหายจากไป ทุกคนรู้ดีว่าอีกไม่กี่วันอีกฝ่ายจะมาถึงและนั่นจะเป็นโศกนาฏกรรมสำหรับทุกคน ครอบครัวชาวยิวเต้นรำให้กับชะตากรรมของตน เธอให้ความหวังกับพวกเค้าว่าวันหนึ่งวันนั้นที่ชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกกดขี่รวมพลังกัน ชัยชนะจะเป็นของพวกเรา แต่เกิดนิมิตแก่เธอว่าชะตากรรมของชาวยิวจะลงเอยเช่นไรต่อไป เธอเลือกที่จะทิ้งลูกไว้กับครอบครัวนั้น และหวนคืนสู่สงคราม

นอกเหนือจากเรื่องราวที่เล่าขานถึงชะตากรรมของมนุษย์อย่างถึงแก่น ภาพยนตร์เต็มเปี่ยมด้วยฉากและภาพที่ทรงพลังไม่อาจลืมลง หลายซีเควนซ์กรุ่นด้วยภาพฝันและความเหนือจริง ซึ่งล้วนสะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์และอัจฉริยภาพของทั้งผู้กำกับ ตากล้อง และผู้ทำดนตรีประกอบ แต่ละช่วงตอนเหล่านั้นแทบทำให้ลืมหายใจ - ท่ามกลางความน่าตื่นใจและมีประสิทธิภาพเหล่านั้น ยากที่จะลืมภาพฝัน-ทรงจำในซีเควนซ์ให้กำเนิดบุตร ฝูงม้าศึกที่ห้อตะบึง ฉากวิวาห์ที่เต็มไปด้วยมายา การจำลองสงครามในการละเล่นที่เหี้ยมเกรียมของเด็กๆ การเต้นรำเยาะเย้ยชะตากรรม ค่ำคืนกล่อมลูกและโศลกของชีวิตที่ผุพัง กระทั่งถึงฉากจบเรื่องที่ตรึงตา

เรานึกถึง ดอกเตอร์ชิวาโก ของปาสเตอร์เน็กอยู่บ้างบางครั้งขณะดูหนังเรื่องนี้ มันว่าด้วยประเด็นที่ใกล้เคียงกัน และทั้งชะตากรรมของหนังสือและหนังเรื่องนี้ก็คล้ายคลึงกัน หลายครั้งหลายหนที่กล้องจงใจเน้นจับเทียนไขที่โลมไล้แสงทาบทอบนหน้าต่าง เราพยายามหาบทกวี "ชิ้นนั้น" ของ "ดอกเตอร์ชิวาโก" แต่หนังสือไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนเสียแล้ว นวนิยายเล่มนั้นเป็นหนังสือในดวงใจ และหนังเรื่องนี้คงเข้าเป็นหนึ่งในดวงใจได้ไม่ยากเย็น

0 comments: